วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ฟุเรียวไคเซคิ: ตอนที่2 รวบรวมเหล่าขุนพล

แรกเริ่มเดิมทีนั้นมีบริษัทพัฒนาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์บริษัทหนึ่ง ซึ่งได้ถูกก่อตั้งจากการรวมกลุ่มของ developer ทาง hardware และ software ด้วยกัน 3 คนซึ่งแต่ละคนนั้น ต่างก็มีจุดนัดฝัน และความมุ่งมั่นอันเดียวกัน ที่จะคิดประดิษฐ์แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก(embedded system board) ซึ่งใช้ CPU ขนาดกระทัดรัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบ 32 บิท ออกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น และก็ได้ตั้งความหวังเล็กๆเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งจะสามารถนำสินค้าของบริษัทออกไปขายยังทั่วโลกได้

แซน นากะโน และ โมริโมโต ทั้งสามคนคือกลุ่ม developer ที่กำลังถูกพุดถึงอยู่ ณ. ขณะนี้ พวกเขาคิดว่าสักวันหนึ่งฝันของพวกเขาจะเป็นจริง เรื่องราวนั้นเริ่มจาก แซน พอมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง และเงินสะสมจากครอบครัวทางบ้าน เขาได้รวบรวมเงินดังกล่าว และชักชวนเพื่อนอีกสองคน คือ โมริโมโต และ นากะโน เปิดห้องทดลองเล็กๆ ในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง และจดทะเบียนบริษัทแล้วตั้งชื่อว่า Atmark-Techno เพราะเขาคิดว่าคำว่า Atmark เป็นคำสั่นๆ และจำง่าย ส่วนคำว่า Techno ที่ตามหลังก็เพื่อจะเป็นการบ่งชี้ให้กับผู้ใช้ทราบว่าสี่งที่ ผู้ใช้กำลังจับต้องอยู่คือ เทคโนโลยีของ Atmark ที่พวกเขาภูมิใจสร้างมันขึ้นมา

แรกๆ พวกเขาก็ทำฮาร์ดแวร์ขายในแบบ OEM ให้กับห้างร้านอะไหล่ เล็กๆ ในระแวกตัวเมือง และบางครั้งก็รับงานเล็กๆน้อยๆ เช่นออกแบบระบบควบคุมให้กับทางโรงงาน โดยใช้แผงวงจรซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ Atmark-Techno จำหน่ายคู่กันไปให้กับทางโรงงาน

ตลอดเวลาที่ดำเนินกิจการผ่านร้อน ผ่านหนาว ปีแล้ว ปีเล่า พวกเค้าทั้งสามได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จากบริษัทห้องเช่าเล็กๆในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง รายได้ต่อเดือนเพียงเล็กๆน้อยๆ ราวสองถึงสามแสนเยน (หรือราว ห้าถึงหกหมื่นบาทไทย) กิจการของพวกเค้าก็เริ่มเติบโตขยับขยาย ไต่ระดับรายได้ไปถึงล้านถึงสองล้านเยน แซนในฐานะที่เขาเป็นประธานบริษัทจึงได้ ออกความเห็นกับเพื่อนของเขาทั้งสองคนว่า "ต่อไปก็คงถึงเวลาแล้วสินะ... ที่พวกเราจะก้าวไปสู่บันไดขั้นต่อไป" พวกเขาได้นำเงินส่วนหนึ่งของบริษัท ลงทุนขยายกิจการ โดยเริ่มจากการลงข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อรับสมัครพนักงานเพิ่ม แล้วก็ย้ายตัวออฟฟิสของพวกเขา ไปเช่าชั้นอาคารพาณิชย์ในตัวเมือง

ในระหว่างที่แซน โมริโมโต และนาคาโน ได้รวบรวมเหล่าสมาชิกใหม่เข้าสู่ Atmark-Techno อยู่นั้น พวกเขาเองก็ต้องเจอโจทย์อันแสนหนักหน่วงข้อหนึ่งนั่นก็คือ "ใบสมัครกองเท่าภูเขาเหล่านี้ คนที่เขาส่งใบสมัครเข้ามา พวกเขาเหล่านั้นอยากทำงานกับพวกเราจริงๆ เหรอ" แล้ว... "ถ้าหากต้องดูแลพวกเขาเหล่านั้นแล้ว... เราจะดูแลพวกเขาได้นานแค่ไหนกันนะ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น